วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2556

วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556

IT VS. Marketing for Education

จากการอ่านบทความ "Marketing 3.0 for Education"
Information Techonology จะมีผลต่อการเรื่อง Marketing for Education ในอนาคตอย่างไรบ้าง
ทำความรู้จักกับ  การตลาด 3.0 ( marketing 3.0 )
การตลาด 3.0 คืออะไร ?
          ยุค 3.0 เป็นยุคที่การตลาดเน้นการขับเคลื่อนด้วยค่านิยม (The Values-Driven Era) ไม่ได้มองผู้บริโภคแบบที่เป็นเป้านิ่งให้ถาโถมสื่อการตลาด แต่มองในฐานะมนุษย์ที่มีความคิด จิตใจ และจิตวิญญาณ ทั้งนี้ตัวผู้บริโภคไม่เพียงเป็นฝ่ายตั้งรับในการรับสื่อสารทางการตลาด แต่สามารถแสดงออกถึงความคิดเห็น (Two-Way Communication) ของตนตลอดจนมีส่วนร่วมไม้ร่วมมือด้วยจิตอาสาในการพัฒนาสินค้าหรือบริการให้ตอบสนองความต้องการของตนให้ดียิ่งขึ้น
       การตลาด 3.0 คือยุค 3G ที่กระแสการใช้ Social Networking นั้นแพร่หลายเป็นปรากฎการณ์ เราใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อแช๊ต โหลดแอพ เล่นเกมส์ เช็คอีเมล์และเข้าถึงอินเทอร์เน็ตมากกว่าใช้พูดคุยกันตามปกติเสียอีก การตลาดยุคนี้จึงเป็นยุคสังคมนิยม ไม่ได้หมายถึงระบบการปกครอง แต่เป็นการรวมกลุ่มสร้างชุมชนเพื่อให้เกิดยอมรับในแวดวงสังคม
ผู้บริโภคยุคนี้เอาใจยากเพราะเขาไม่ได้ต้องการแค่ซื้อสินค้าที่มีวางขายทั่วไป แต่เขาต้องการมีส่วนร่วม และรู้สึกว่าการบริโภคสินค้านั้นๆ มันแสดงออกถึงความเป็นตัวตนที่แท้จริงของเขา
โดยเน้นความสัมพันธ์กับมนุษย์ (Human Centricity) เกิดจากเทคโนโลยีคลื่นลูกใหม่  โดยเทคโนโลยีคลื่นลูกใหม่ ประกอบด้วยแรงขับ 3 ประการ คือ
แรงขับที่ 1 คอมพิวเตอร์กับโทรศัพท์มือถือราคาถูก
แรงขับที่
2 อินเตอร์เน็ทที่ราคาต่ำลง
แรงขับที่
3 Open Source
Information Techonology จะมีผลต่อการเรื่อง Marketing for Education ในอนาคตอย่างไรบ้าง ?
 ปัจจุบัน เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้เข้ามามีบทบาทที่สำคัญในการดำเนินชีวิตของเรา มีการนำเอาเทคโนโลยีต่างๆมาใช้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งในวงการธุรกิจ และการศึกษา ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงไป จนบางครั้งคนในสังคมติดตามแทบไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลง
    ในการจัดการศึกษาของไทย ก็เช่นกัน ต้องมีการพัฒนา ปรับเปลี่ยนให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเทคโนโลยี เพื่อให้พร้อมที่จะก้าวเข้าสู่สังคมแห่งปัญญา และโลกแห่งการเรียนรู้อย่างแท้จริง ดังนั้น แนวคิดในการนำกระบวนการเรียนรู้ผ่านการสื่อสาร ออนไลน์ด้วยรูปแบบต่างๆ จึงเกิดขึ้น ด้วยการนำเอาแนวคิด Social Media มาประยุกต์ใช้สำหรับจัดการเรียนการสอน ในรูปแบบต่างๆ เช่น การสื่อสารองค์ความรู้ เนื้อหาสาระวิชาการ บทความ วีดิโอ รูปภาพ และ เสียง ส่งผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไปยังผู้เรียน ซึ่งนับว่าเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ ของการปรับการเรียนเปลี่ยนการสอน ทำให้เกิดการเรียนรู้ในโลกออนไลน์ ที่ไม่จำกัดเฉพาะในชั้นเรียน โดยที่ทั้งครูและนักเรียน สามารถแชร์เนื้อหา องค์ความรู้ ข้อมูล ภาพ และเสียง ผ่านเครื่องมือออนไลน์ต่างๆ เกิดเป็นสื่อสังคมระหว่างครูกับนักเรียน ที่จะเรียนรู้ไปด้วยกันพร้อมๆกัน เกิดการเรียนรู้แบบ Realtime

ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ Information Tecnology (IT) ในด้าน Marketing for Education
           ตัวอย่างที่แสดงถึงการเจริญเติบโตของเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่มีผลต่อเรื่อง
Marketing for Education เช่น โครงการ ก้าวใหม่ของครูไทย ก้าวไกลด้วย Social Media” ของ สพฐ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) ในปี2553 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยสำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน (สทร.)
ได้จัดการอบรมส่งเสริมให้ครูใช้
Social Media ในการจัดการเรียนการรู้ โดยจัดอบรมให้ความรู้ความเข้าใจ พ้อมกับฝึกปฎิบัติในการใช้เครื่องมือที่มีในสื่อสังคมออนไลน์ ให้แก่ครูทั่วประเทศ โดย สทร.ได้เปิดให้ครูที่สนใจสมัครเข้าอบรม แล้วคัดเลือก เหลือจำนวน 200 คน ซึ่งหลังจากเสร็จสิ้นการอบรม พบว่าครูสามารถสร้างผลงาน ที่เกิดจากการใช้เครื่องมือ ออนไลน์ขยายเป็นเครือข่ายใน Social Media และนำไปประยุกต์ใช้จัดการเรียนรู้ในห้องเรียนได้อย่างหลากหลาย ทำให้เกิดเป็นความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ระหว่างครูกับครู ครูกับนักเรียน และนักเรียนกับนักเรียน

          Social Media สามารถตอบโจทย์ให้แก่ผู้บริหาร และนักการศึกษา ที่ต้องการแก้ปัญหาในชั้นเรียนด้านต่างๆ เช่น การไม่เข้าใจเนื้อหาที่เรียนในชั้นเรียน การคิดวิเคราะห์ การสืบค้น การค้นหาองค์ความรู้ การปฎิสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน ฯลฯ จึงนับว่า เป็น ก้าวใหม่ของครูไทย ก้าวไกลด้วย Social Media”
           สำหรับปี 2554 นี้ สทร.จัดการอบรมส่งเสริมให้ครูใช้ Social Media ในการจัดการเรียนการรู้ ให้ครูอีก 200 คน ในวันที่ 20 -24 มิถุนายน 2554 ที่โรงแรม Maxx ถ.พระราม9 กรุงเทพฯ ให้ครูสามารถใช้เครื่องมือออนไลน์ต่างๆเป็น เช่น WordPress(บล็อก) Facebook(เครื่องมือติดต่อสื่อสารอย่างทันทีและรวดเร็ว Twitter(microblog) Picasa (การแชร์ภาพ) Youtube(แชร์วิดีโอ)Slideshare(สไลด์แชร์) ซึ่งครูจะนำวิธีการเหล่านี้ไปปรับประยุกต์ใช้จัดการเรียนรู้
จัดทำบล็อก ทำสไลด์ ทำวิดีโอคลิป เป็นต้น

            สิ่งที่ สทร. คาดหวังจากครูที่มาอบรม คือครูต้องนำความรู้ที่ได้ไปใช้ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม นำพานักเรียนเข้าสู่องค์ความรู้ในรูปแบบต่างๆ ด้วยการนำเสนอเนื้อหาผ่านบล็อก ของครูที่สร้างจากเว็บไซด์ WordPress.com และเครื่องมือออนไลน์ต่างๆ Facebook Twitter (microblog) Picasa และYoutube ที่สำคัญครูต้องสามารถสร้างรูปแบบการสอนผ่านบล็อก จัดกิจกรรมให้นักเรียน เรียนผ่านออนไลน์ได้ ดังนั้นโจทย์ที่ท้าทายสำหรับครูก็คือ จะนำเครื่องมือ Social Media ต่างๆไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไรด้วยวิธีการของตัวเอง ซึ่งอาจแตกต่างกันไปตามวิชาที่สอน บริบทของโรงเรียน และความสามารถของครูแต่ละท่าน
            สทร. ได้เสนอเครื่องมือของสื่อสังคมเพื่อนำไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ ดังนี้
- WordPress.com เป็นเว็บล็อก หรือบล็อก สร้างเป็นบล็อกกลางสำหรับแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และเป็นสื่อกลางในการแจ้งข่าวสาร
- Facebook.com ทำหน้าที่เป็นกระดานข่าว คล้ายๆ กับ hi5 ครูและนักเรียนสามารถสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลได้ที่นี่เช่นกัน
- Twitter.com ใช้ในการสื่อสารข้อความสันๆ ไม่เกิน 140 ตัวอักษร ทำหน้าที่คล้าย SMS สามารถ โต้ตอบกันได้อย่างรวดเร็ว
- Slideshare.net ใช้ในการแบ่งบันสไลด์ ในกรณีทีคุณครูสร้างสไลด์เป็นสื่อในการจัดการเรียนการสอนสามารถนำไปฝากไว้ แล้วให้นักเรียนไปดาวน์โหลดมาชมหลังจากเรียนเสร็จแล้วก็ได้
- Flickr.com ใช้ ในการแบ่งปันไฟล์ภาพ
- Scribd.com ใช้ในการแบ่งปันไฟล์เอกสาร เช่น ใบความรู้ ใบงาน แบบฝึก
- youtube.com ใช้ ในการแบ่งปันไฟล์วีดีทัศน์ คุณครูสามารถเลือกใช้เครื่องมือเหล่านี้ได้ตามความเหมาะสม
        บทบาทต่อการจัดการในชั้นเรียนด้วยลักษณะสำคัญ คือ การมีปฏิสัมพันธ์ของคนในระบบเครือข่าย จึงไม่ใช่เรืองแปลกนักที่เมื่อมีปริมาณจำนวนคนในเครือข่ายจะนำไปสู่การสร้างความเปลี่ยนแปลงสำคัญๆให้เกิดขึ้นในสังคมจริงได้ ด้วยข้อมูลจำนวนมากที่ถูกนำเสนอในเครือข่ายสังคมออนไลน์ หากนำมาสู่การจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนย่อมก่อให้เกิดผลสำคัญในหลากหลายลักษณะเช่นกัน สามารถจำแนกลักษณะที่ถูกนำเสนอผ่านทาง Social media สามารถสรุปได้ดังนี้ คือ
1.    การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลหรือภายในเครือข่าย โดยผู้ใช้สร้างโปรไฟล์ของตนเอง และมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน เช่น Facebook
2.       การเผยแพร่ความรู้ความเชี่ยวชาญ ซึ่งจะอยู่ในลักษณะของเว็บบล็อกต่างๆ
3.       การเผยแพร่ข้อความสั้น เช่น twitter เป็นต้น
4.       การเพิ่มเติมข้อมูลความรู้ต่างๆ เช่น เว็บ Wikipedia
5.       การเผยแพร่เนื้อหาเฉพาะ การเผยแพร่ภาพ เสียง วิดีโอ เช่น เว็บ youtube , Flickr เป็นต้น

ด้วยข้อมูลจำนวนมากที่ถูกนำเสนอในเครือข่ายสังคมออนไลน์ หากนำมาสู่การจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนย่อมก่อให้เกิดผลสำคัญในหลากหลายลักษณะเช่นกัน เช่น
  1. การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสังคมในชั้นห้องเรียน เนื่องจากบรรยากาศของเครือข่ายสังคมออนไลน์เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารผ่านภายมิติความสัมพันธ์ของคนในเครือข่าย ด้วยเหตุนี้เมื่อทั้งผู้สอนและผู้เรียนเข้าสู่การสร้างความสัมพันธ์ภายในระบบเครือข่าย สังคมออนไลน์ก็จะนำไปสู่การพัฒนาความสัมพันธ์ในสังคมจริงในทิศทางที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นผลให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพจริง นอกจากนี้ลักษณะการนำเสนอข้อมูล สถานภาพที่เป็นปัจจุบัน ทำให้ทั้งผู้สอนสามารถติดตามพฤติกรรมและประสานข้อมูลได้อย่างทันท่วงที
  2. การกระตุ้นให้เกิดการศึกษาค้นคว้า การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่กว้างขวาง การตั้งประเด็นแลกเปลี่ยน ข้อสงสัยต่างๆ ผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ทำได้อย่างทันท่วงที และเป็นเครื่องมือสำหรับผู้สอนในการกระตุ้นผู้เรียนได้เป็นอย่างดี
    ในขณะเดียวกันผู้สอนสามารถนำเสนอเนื้อหาใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่องและผู้เรียนสามารถติดตามได้อย่างต่อเนื่อง
  3. การส่งเสริมการศึกษาตามความสนใจและความถนัด เครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรูปแบบของเว็บบล็อก เป็นระบบที่ส่งเสริมการเผยแพร่ผลงานตามความถนัดและความสนใจของทั้งผู้สอนและผู้เรียน อีกทั้งยังส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนขยายผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  4. การส่งเสริมการบันทึกและการอ่าน การเผยแพร่ผ่านเครือข่ายสังคอมออนไลน์ส่วนใหญ่ผ่านรูปแบบของข้อเขียนในหลายลักษณะ เช่น ข้อความสั้นในระบบ twitter ข้อความปานกลางของเว็บ facebook หรือข้อความยาวๆ ของระบบเว็บบล็อก เป็นต้น

ข้อดีของการประยุกต์ใช้ IT กับการศึกษา
  1. ครูและนักเรียนสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ร่วมกันได้ทันที
  2. เป็นคลังข้อมูลความรู้ขนาดย่อมเพราะเราสามารถเสนอและแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนความรู้ หรือตั้งคำถาม ในเรื่องต่างๆ เพื่อให้บุคคลอื่นที่สนใจหรือมีคำตอบได้ช่วยกันตอบ
  3. ช่วยเรื่องการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพ สื่อสารได้ในวงกว้าง ได้หลายรูปแบบ เช่นข้อความ รูปภาพ วิดีโอ
  4. เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้รวดเร็ว และเป็นช่องทางการสื่อสารได้ตลอดเวลา
  5. Facebook เป็นสื่อกลางในการให้การบ้าน สั่งงานกับนักเรียน หรือการส่งงานเพื่อให้การเรียนการสอนมีความน่าสนใจและสะดวกมากขึ้น
  6. ทำให้เกิดการเรียนการสอนที่แปลกใหม่ ผู้เรียนก็จะได้สนุกสนานในการเรียน ได้ทั้งความรู้จากวิชาที่เรียนและได้เรียนรู้จากการใช้คอมพิวเตอร์
  7.  ใช้เป็นสื่อในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือบริการลูกค้าสำหรับบริษัทและองค์กรต่างๆ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า และสามารถขยายเขตข้อมูลได้รวดเร็ว
  8. สร้างความสัมพันธ์ที่ดีจากเพื่อนสู่เพื่อน ครอบครัวได้

ข้อเสียของการประยุกต์ใช้ IT กับการศึกษา
  1. การใช้งานเพื่อความบันเทิง เกม มากกว่าการศึกษาค้นคว้า ทั้งนี้ระบบเครือข่ายสังคมออนไลน์ เช่น facebook จะประกอบด้วย เกมต่างๆมากมาย และส่วนใหญ่ต้องการใช้เวลาในการเล่นต่อเนื่อง ทำให้เสียเวลา
  2. ความจำเป็นของอุปกรณ์สื่อสาร ส่วนใหญ่มีราคาแพง และมีค่าใช้จ่ายที่ต่อเนื่อง และหากผู้สอนใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ในการนำเสนอข้อมูลไปยังผู้เรียนเป็นหลัก อาจทำให้ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลของผู้เรียนได้
  3. การรับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องและขาดวิจารณญาณ
  4. การขาดวิจารณญาณในการนำเสนอข้อมูล เนื้อหาของผู้เรียน ด้วยความสะดวก รวดเร็วในการเผยแพร่ข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายสังคมออนไลน์ จะพบว่า หลายครั้งทำให้หลายคนขาดความยั้งคิดในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ภาพหรือเหตุการณ์ต่างๆ อาจถูกผู้ไม่หวังดีนำมาใช้ในทางเสียหาย หรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคลได้
  5. เป็นช่องทางในการถูกละเมิดลิขสิทธิ์ ขโมยผลงาน หรือถูกแอบอ้าง เพราะ Social Network Service เป็นสื่อในการเผยแพร่ผลงาน รูปภาพต่างๆ ของเราให้บุคคลอื่นได้ดูและแสดงความคิดเห็น
  6. ข้อมูลที่ต้องกรอกเพื่อสมัครสมาชิกและแสดงบนเว็บไซต์ในรูปแบบ Social Network ยากแก่การตรวจสอบว่าจริงหรือไม่ ดังนั้นอาจเกิดปัญหาเกี่ยวกับเว็บไซต์ที่กำหนดอายุการสมัครสมาชิก หรือการถูกหลอกโดยบุคคลที่ไม่มีตัวตนได้
  7. ผู้ใช้ที่เล่น social  media และอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานอาจสายตาเสียได้หรือบางคนอาจตาบอดได้ 
  8. ถ้าผู้ใช้หมกหมุ่นอยู่กับ social  media มากเกินไปอาจทำให้เสียการเรียนหรือผลการเรียนตกต่ำลงได้
  9. จะทำให้เสียเวลาถ้าผู้ใช้ใช้อย่างไร้ประโยชน์



วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556

GIS Vs. Web-service สัมพันธ์กันอย่างไร?

GIS กับ Web Service จะมีความสัมพันธ์กันหรือไม่
จงยกตัวอย่างประกอบว่าจะเป็นระบบอะไร
และระบบดังกล่าวท่านคิดว่ามีความเสี่ยงด้าน
IT ที่จะเกิดขึ้นคืออะไร


          ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ หรือ Geographic Information System : GIS คือกระบวนการทำงานเกี่ยวกับข้อมูลในเชิงพื้นที่ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ที่ใช้กำหนดข้อมูลและสารสนเทศ ที่มีความสัมพันธ์กับตำแหน่งในเชิงพื้นที่ เช่น ที่อยู่ บ้านเลขที่ สัมพันธ์กับตำแหน่งในแผนที่ ตำแหน่ง เส้นรุ้ง เส้นแวง ข้อมูลและแผนที่ใน GIS เป็นระบบข้อมูลสารสนเทศที่อยู่ในรูปของตารางข้อมูล และฐานข้อมูลที่มีส่วนสัมพันธ์กับข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Data) ซึ่งรูปแบบและความสัมพันธ์ของข้อมูลเชิงพื้นที่ทั้งหลาย จะสามารถนำมาวิเคราะห์ด้วย GIS และทำให้สื่อความหมายในเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่สัมพันธ์กับเวลาได้ เช่น การแพร่ขยายของโรคระบาด การเคลื่อนย้าย ถิ่นฐาน การบุกรุกทำลาย การเปลี่ยนแปลงของการใช้พื้นที่ ฯลฯ ข้อมูลเหล่านี้ เมื่อปรากฏบนแผนที่ทำให้สามารถแปล และสื่อความหมายใช้งานได้ง่าย 

          GIS เป็นระบบข้อมูลข่าวสารที่เก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ แต่สามารถแปลความหมายเชื่อมโยงกับสภาพภูมิศาสตร์อื่นๆ สภาพท้องที่ สภาพการทำงานของระบบสัมพันธ์กับสัดส่วนระยะทางและพื้นที่จริงบนแผนที่ ข้อแตกต่างระหว่าง GIS กับ MIS นั้นสามารถพิจารณาได้จากลักษณะของข้อมูล คือ ข้อมูลที่จัดเก็บใน GIS มีลักษณะเป็นข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Data) ที่แสดงในรูปของภาพ (graphic) แผนที่ (map) ที่เชื่อมโยงกับข้อมูลเชิงบรรยาย (Attribute Data) หรือฐานข้อมูล (Database)การเชื่อมโยงข้อมูลทั้งสองประเภทเข้าด้วยกัน จะทำให้ผู้ใช้สามารถที่จะแสดงข้อมูลทั้งสองประเภทได้พร้อมๆ กัน
รูปภาพ : แสดงระบบการทำงานของ GIS

ตัวอย่าง
ระบบ กิน เที่ยว พัก เพลินไทยแลนด์ เป็น web service ที่จะแนะนำสถานที่พัก สถานที่ท่องเที่ยว และร้านอาหาร ทุกจังหวัดในประเทศไทย โดยการนำ GIS มาใช้ในการพัฒนาระบบ ดังนี้
1.   สถานที่ท่องเที่ยว ระบบจะแสดงแผนที่ด้านการเดินทาง เส้นทาง และจุดสำคัญในการเดินทาง และระบบยังสามารถเลือกเส้นทางที่มีความเสี่ยงและเวลาในการเดินทางน้อยที่สุด ทำให้เราประหยัดเวลาและต้นทุน รวมถึงมีความปลอดภัยในการเดินทางอีกด้วย
     2.  ที่พัก  ระบบจะแสดงแผนที่พัก การเดินทาง เส้นทาง และที่พักแนะนำที่น่าสนใจ สามารถค้นหาที่พักตามราคา หรือแบบที่เราต้องการได้อีกด้วย
     3.  ร้านอาหาร ระบบจะแสดงแผนที่ร้านอาหาร เส้นทางการเดินทาง และร้านอาหารแนะนำที่ติดอันดับ และสามารถค้นหาร้านอาหารตามประเภทอาหารที่เราชอบได้

ข้อดีของการนำ GIS มาประยุกต์ใช้ใน Web service

1. สามารถแสดงข้อมูลของจุด ตำแหน่ง หรือบริเวณที่ต้องการได้ ไม่ว่าจะแสดงในลักษณะของสี กราฟ สัญลักษณ์ รูปภาพ ซึ่งจะทำให้ง่ายต่อความเข้าใจของผู้ที่ดูแผนที่
2. GIS สามารถแสดงข้อมูลได้ในลักษณะ Real Time คือ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลแล้ว ผู้ใช้คนอื่นสามารถรับ หรือใช้งานข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงได้ทันที่
3. ช่วยในการแนะนำแหล่งท่องเที่ยว ที่พัก หรือร้านอาหาร เช่น googleearth ก็ถือเป็นระบบ GIS อย่างหนึ่ง
4. ช่วยให้เข้าถึงจุดเกิดเหตุต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ซึ่งนำไปใช้ในการบรรเทาสาธารณภัย งานป้องกันเหตุ
5. ช่วยในงานติดตาม คือเมื่อต่อระบบเข้ากับ GIS แล้ว เราก็สามารถรู้ได้ว่าสิ่งที่เราติดตามอยู่ที่ไหน เช่น การติดตามรถหาย

ความเสี่ยงด้าน IT ที่จะเกิดขึ้นกับระบบ 
1. ด้านระบบ (systems)
- การเข้าถึงข้อมูล การเข้าถึงโดยใช้โมเด็ม หรือการเปลี่ยนแปลงข้อมูล โดยไม่ได้รับอนุญาต
- ความล้มเหลวในด้านการสื่อสารหรือการบริการภายนอก
- ความผิดพลาดของซอฟต์แวร์หรือการเขียนโปรแกรม
- ความล้มเหลวทางเทคนิค
2. ด้านการบริหารจัดการ (administrative)
-การใช้โปรแกรมละเมิดลิขสิทธิ์
- การแทรกแซงเว็บไซต์
3. ด้านกายภาพและสิ่งแวดล้อม  (physical and environmental)
- การรบกวนทางอิเล็กทรอนิกส์
- ไฟไหม้ จากอุบัติเหตุไฟฟ้าลัดวงจร การวางเพลิง หรืออื่นๆ
- การทำลายระบบและข้อมูลโดยเจตนาร้าย 

วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

เราจะพัฒนาระบบ HRIS ให้เป็น Web-service ได้อย่างไร ?

HRIS ------> Web-service


ท่านคิดว่าจะพัฒนาระบบ HRIS ของหน่วยงานหนึ่งให้มีลักษณะเป็Web Service นั้นได้หรือไม่ และหากมีลักษณะที่เป็น Web Service จะเป็นอย่างไร ให้ยกตัวอย่างประกอบโดยมีภาพประกอบ

         ระบบสารสนเทศทรัพยากรบุคคล ( Human Resource Information System) หมายถึง กลุ่มของระบบงานที่ประกอบด้วยฮาร์ดแวร์หรือตัวอุปกรณ์ และซอฟต์แวร์หรือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ทำหน้าที่รวบรวม ประมวลผล วิเคราะห์ จัดเก็บ และกระจายข้อมูล ข่าวสาร รายงาน ที่มีความถูกต้อง รวดเร็ว ตรงเวลาให้กับผู้ใช้ เพื่อการนำไปวิเคราะห์ เพื่อการสนับสนุนการตัดสินใจ การปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจ การควบคุมการบริหารทรัพยากรมนุษย์ภายในองค์กร และการปรับเปลี่ยนวิสัยทัศน์ในการบริหารงานของผู้บริหารในส่วนที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรมนุษย์ทั้งในปัจจุบัน และในอนาคต นอกจากนี้ ยังช่วยประสานงาน วิเคราะห์ปัญหา การสร้างแบบจำลองทางธุรกิจที่มีความซับซ้อนและก่อให้เกิดหลักการและกลยุทธ์ในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ใหม่ๆ 
           นอกจากนั้นงาน HRIS จึงอาจจะหมายถึง วิธีการส่งมอบงานบริการใหม่ๆ แก่ลูกค้าของเรา ผ่านกระบวนการอิเล็กทรอนิกส์ เหมือนกับการส่งรหัสสารสนเทศจากฝั่ง Hr ไปสู่การถอดรหัสสารสนเทศของฝั่งลูกค้า Hr โดยใช้คอมพิวเตอร์หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ มาทำงานส่งมอบบริการแทนเจ้าหน้าที่ทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งจะหลีกเลี่ยงการให้บริการแบบเผชิญหน้า แต่มีข้อดีกว่า คือ สามารถให้บริการโดยไม่จำกัด เวลา สถานที่ และที่สำคัญ คือ เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เพิ่มความสะดวก รวดเร็ว ประหยัด และไม่ลดความพึงพอใจของลูกค้า

       การนำเอาซอฟท์แวร์และเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้ในระบบ HRIS ก็เพื่อให้กระบวนการจัดการข้อมูลเหล่านี้มีความรวดเร็วยิ่งขึ้น มีต้นทุนในการดำเนินงานลดลง เพราะโดยปกติแล้วแอพพลิเคชั่นต่างๆ มักจะทำงานด้านธุรการได้เร็วกว่าคน โดยใช้กระดาษน้อยกว่าและอาจต้องการคนทำงานน้อยลงกว่าเดิมด้วย


การนำระบบสารสนเทศทรัพยากรบุคคลมาประยุกต์เป็น web – service ได้ดังนี้

 ** ระบบการจัดการการลาออนไลน์ : e-Leave

พนักงานสามารถลาผ่านระบบออนไลน์ และหัวหน้าอนุมัติผ่านมือถือได้
การใช้นโยบายที่เกี่ยวข้องกับการลาหยุด ออกจากงานของพนักงานโดยใช้ทั้งในองค์กรของท่านนั้น ในขณะที่กำลังจัดเก็บข้อมูลให้ถูกต้องกับข้อมูลสารสนเทศด้านการลาหยุด ออกของพนักงานลูกจ้างแต่ละคน คำขอลาหยุด ออก การอนุมัติ จะสามารถดำเนินการได้ง่าย ไม่ยุ่งยากโดยผ่านทางระบบ ออนไลน์ ซึ่งรวมอยู่กับ ระบบจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (email system) ซึ่งจะให้ข้อมูลเป็นแบบ real time เพื่อส่งต่อให้กับผู้จัดการในสายงานการผลิต
หรือสายการบังคับบัญชา และส่งให้กับแผนกทรัพยากรบุคคล (HR Department)

** ระบบจัดการการฝึกอบรม : e-Training

ช่วยให้ทุกคนสามารถดำเนินการเกี่ยวกับการอบรมได้บนหน้าจอเดียวกัน
บริหารจัดการด้านการแจ้งความต้องการและงบประมาณในการฝึกอบรมสำหรับทุกแผนกงาน การจัดเก็บรักษาข้อมูลเกี่ยวกับการอบรมต่างๆ ที่จัดให้แก่พนักงาน โดยผ่านทางหลักสูตรต่างๆ ทั้งภายใน ภายนอก (การเข้าร่วมอบรม ความสำเร็จในการจัดอบรม ฯลฯ) ซึ่งเชื่อมต่อกับระบบบริหารจัดการผลการปฏิบัติงานสำหรับสอบทานงานที่แล้วเสร็จในปีนั้นๆ และข้อมูลสารสนเทศที่สามารถนำมาใช้งานในการตัดสินใจได้

** ระบบประเมินผลงาน : e-Performanceทำให้กระบวนการในการประเมินผลพนักงานง่ายขึ้นกำหนดวัตถุประสงค์และมาตรฐานในกระบวนการประเมิน ตลอดทั่วทั้งองค์กร เกณฑ์ด้วยการ ถ่วงน้ำหนักในกระบวนการประเมินสามารถที่จะกำหนดข้อมูลประวัติของแต่ละคนภายในแต่ละแผนก เช่น เกณฑ์การประเมินที่ผู้ใช้กำหนดคุณค่าของแต่ละเกณฑ์ การหารือเกี่ยวกับการประเมิน สิ่งที่พบในการประเมิน   รายบุคคล การให้คะแนนทั้งหมดและข้อเสนอแนะในการปรับปรุง โดยเชื่อมต่อกับการจัดทำเงินเดือนค่าจ้าง การอบรม และฐานข้อมูลพนักงาน ช่วยงานแผนกทรัพยากรบุคคลได้อย่างมีประสิทธิผล


** ระบบการจัดการเบิกค่าทดแทน และค่าใช้จ่าย : e-Claimดำเนินการติดตามข้อมูลพนักงานลูกจ้างของท่าน ซึ่งไม่เคยง่าย สะดวกแบบนี้มาก่อน

บริหารจัดการแบบรวมศูนย์ในด้านสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่มีของพนักงาน (สิทธิประโยชน์และค่าตอบแทน ตามที่ผู้ใช้กำหนด สิทธิประโยชน์ที่เป็นตัวเงินที่ไม่เป็นตัวเงิน จำนวนสูงสุดของค่าตอบแทน หลักเกณฑ์ที่นำมาใช้ การพักงาน ฯลฯ) การจัดทำรายงานต่างๆ แบบเบ็ดเสร็จสำหรับแผนการจ่ายเงินเดือนให้แก่พนักงาน อัตราส่วนสิทธิประโยชน์ของพนักงานต่อนายจ้าง


รูป แสดงระบบงานสารสนเทศทรัพยากรบุคคล




วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2556

E - learning vs Web - service

e-learning กับ web service มีความสัมพันธ์กันหรือไม่อย่างไร หากมีให้ลองยกตัวอย่างเป็นรูปภาพของระบบว่าจะเป็นอย่างไร


        ปัจจุบันสังคมโลกมีวิวัฒนาการ และเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information Communication Technology ) การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างรวดเร็ว มีผลต่อภาคการศึกษา โดยเฉพาะด้านการเรียนการสอน ผู้เรียนสามารถติดต่อกับคนทั้งโลก สามารถเข้าไปค้นหาข้อมูลได้เพียงปลายนิ้วสัมผัสบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นขุมความรู้อันมหาศาล สามารถใช้ความรู้อันหลากหลายวิทยาการนี้มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาองค์ความรู้ของตนเอง หรือหน่วยงานให้ทันยุค และยั่งยืนดังนั้นการปรับรูปแบบการเรียนการสอนในรูปแบบ e-Learning จึงเกิดขึ้นอย่างมาก และรวดเร็วในยุคนี้
         e-Learning เป็นการเรียนการสอนทางไกลที่ใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ผ่านทาง World Wide Web ซึ่ง ผู้เรียนและผู้สอนใช้เป็นช่องทางในการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน ผู้เรียนสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลมากมาย ที่มีอยู่ทั่วโลกอย่างไร้ขอบเขตจำกัด เป็นวิธีการเรียนรู้ที่สร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ให้เกิดขึ้น ทำให้การศึกษา เกิดขึ้นได้ในทุกที่ ทั้งที่บ้าน ที่ทำงาน สถานศึกษา และอื่น ๆ ทำให้ระบบการเรียนการสอนเปลี่ยนไปจากเดิมที่เป็นระบบปิดมาเป็นระบบเปิด ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากแหล่งวิชาที่มีการเชื่อมโยงอยู่ในเว็บ การเรียนในลักษณะนี้ช่วยทำให้ผู้สอนและผู้เรียนเป็นอิสระจากปัญหาการจัดตารางเรียนตารางสอน เพราะผู้เรียนสามารถเข้าถึงสื่อการเรียนการสอนได้ตามความสะดวกตามต้องการ ผู้เรียนเป็นผู้ควบคุมการเรียนด้วยตนเอง ทำให้เกิดการเรียนรู้ที่เป็นไปตามพัฒนาการของตนเอง 
        

          
            Web Services คือระบบซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมา เพื่อสนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูล ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านระบบเครือข่าย โดยที่ภาษาที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ คือ XML เว็บเซอร์วิส
มีอินเทอร์เฟส ที่ใช้อธิบายรูปแบบข้อมูลที่เครื่องคอมพิวเตอร์ประมวลผลได้
  ลักษณะการให้บริการของ Web Services  นั้น จะถูกเรียกใช้งานจาก application อื่นๆ ในรูปแบบ RPC (Remote Procedure Call) ซึ่งการให้บริการจะมีเอกสารที่อธิบายคุณสมบัติของบริการกำกับไว้ โดยภาษาที่ถูกใช้เป็นสื่อในการแลกเปลี่ยนคือ XML ทำให้เราสามารถเรียกใช้ Component ใด ๆ ก็ได้ ใน ระบบ หรือ Platform ใด ๆ ก็ได้ บน Protocol HTTP ซึ่งเป็น Protocol สำหรับ World Wide Web หรืออินเทอร์เน็ต อันเป็นช่องทางที่ได้รับการยอมรับทั่วโลกในการติดต่อสื่อสารกันระหว่าง Application กับ Application ในปัจจุบัน

                                          

ตัวอย่าง
Web Service เช่นระบบรายงานเกรด ระบบลงทะเบียนเรียน หรือเรียกว่า e-Education เป็นต้น และยังมีระบบที่เราสร้าง และจัดการงานบนอินเทอร์เนตที่เราเรียกว่า Web Application เช่น LMS Learning Management System เป็นระบบออกแบบ พัฒนาและจัดการเรียนการสอนบนอินเทอร์เนต หรือที่เรียกว่า e-Learning และระบบฐานข้อมูลสื่อต่างๆ เช่นระบบจัดการภาพ e-Album ระบบวิดิทัศน์ตามประสงค์ Video on Demand เป็นต้น
                         

สรุป : จากความหมายของ e-learning และ web-service และตัวอย่างการทำงานของ web-service แล้ว จะเห็นได้ว่า  e-learning หรือการจัดการเรียนการสอนบนอินเตอร์เนต เป็นระบบการทำงานแบบหนึ่งของ e-service ดังนั้น e-learning และ web-service จึงมีความสัมพันธ์กัน

วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2556

" จังหวัดอุบลราชธานี ส่งเสริมการท่องเที่ยวรองรับอาเซียน ปี พ.ศ.2558 "


  “ ปี พ.ศ. 2558 ก้าวเข้าสู่สังคมอาเซียน พร้อมกับการพัฒนาการท่องเที่ยวอุบลราชธานี

               เนื่องจากในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ประเทศไทยจะเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน เราจึงจำเป็นที่จะต้องพัฒนาประเทศไทย เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเจริญเติบโตในด้านต่างๆมากมาย โดยเฉพาะในด้านการท่องเที่ยว เพราะในประเทศอาเซียน 10 ประเทศ ประเทศไทยถูกจัดให้เป็นศูนย์กลางทางด้านโลจิสติกส์ หรือการท่องเที่ยว เราจึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาระบบการท่องเที่ยวให้มีความทันสมัย โดดเด่น และน่าสนใจ โดยการนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วย

             จังหวัดอุบลราชธานีของเรา เป็นจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวัดวาอาราม สถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติ น้ำตก ภูเขา หรือแหล่งโบราณสถานต่างๆที่มีคุณค่าและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะสำคัญอย่างยิ่ง ถ้ากล่าวถึงจังหวัดอุบลราชธานี  ก็ต้องคู่กับประเพณีแห่เทียนพรรษา เป็นประเพณีที่อยู่คู่กับจังหวัดอุบลราชธานีมาเป็นร้อยปี  เราจะส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดได้ด้วยวิธีการหลายวิธี เช่น
1. การโฆษณา
 ในการโฆษณา มีหลายวิธี เช่น ผ่านสื่อวิทยุ โทรทัศน์ ใบปลิว 
2. งานแสดงสินค้า
 เช่น จัดแสดงสินค้าประจำท้องถิ่น สินค้า OTOP ของแต่ละตำบล
3. สร้างเว็บไซต์ บริการข้อมูลต่างๆ เช่น แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ กิจกรรมต่างๆที่จัดขึ้น
สินค้า
 OTOP , สินค้าที่ระลึก สามารถซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์ และบริการจัดส่งทางรถทัวร์ ทางไปรษณีย์ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ

4. ศูนย์บริการข้อมูล และฐานข้อมูล  เพื่อคอยให้บริการข้อมูลด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น
การเดินทาง ที่พัก ร้านอาหาร และสินค้าที่ระลึกต่างๆ
  

ตัวอย่าง สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ   

           งานประเพณีแห่เทียนพรรษา : เป็นประเพณีทางพุทธศาสนา ของชาวอุบลฯ ซึ่งมีความเจริญในพุทธศาสนา วัฒนธรรม และประเพณีมาเป็นเวลายาวนาน ถือเป็นงานบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจังหวัดอุบลราชธานี โดยได้กำหนดจัดงานขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 และแรม 1 ค่ำเดือน 8 หรือวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา จัดให้มีขึ้นทุกปี

          จากการสอบถามผู้เฒ่าผู้แก่ ได้ความว่า ชาวอุบลราชธานี ได้ทำต้นเทียนประกวดประชันความวิจิตรบรรจงกัน ตั้งแต่ พ.ศ.2470 จนเมื่อปี พ.ศ.2520 จังหวัดอุบลราชธานี ได้จัดงานสัปดาห์ประเพณีแห่เทียนพรรษา ให้เป็นงานประเพณีที่ยิ่งใหญ่และมโหฬาร สถานที่จัดงานคือ บริเวณทุ่งศรีเมืองและศาลาจตุรมุข มีการประกวดต้นเทียน 2 ประเภท คือ ประเภทติดพิมพ์ และประเภทแกะสลัก โดยขบวนแห่จากคุ้มวัดต่างๆ พร้อมนางฟ้าประจำต้นเทียน จะเคลื่อนขบวนจาก หน้าวัดศรีอุบลรัตนาราม ไปตามถนน มาสิ้นสุดขบวนที่ทุ่งศรีเมือง และการแสดงสมโภชต้นเทียน แลเป็นแสงไฟต้องลำเทียนงามอร่ามไปทั้งงาน ซึ่งตั้งแต่ปี พ.ศ.2542 เป็นต้นมา


" อุทยานแห่งชาติผาแต้ม " : เป็นอุทยานแห่งชาติที่ตั้งอยูทางตะวันออกสุดของประเทศไทย สามารถรับชมพระอาทิตย์ขึ้นได้เป็นจุดแรกของประเทศไทย ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่ของจังหวัดอุบลราชธานี จุดที่น่าสนใจคือภาพเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์ผาแต้ม ผาหมอน ผาลาย ประติมากรรมธรรมชาติเสาเฉลียง และจุดชมพระอาทิตย์แสงแรกแห่งสยาม อุทยานแห่งชาติผาแต้มมีพื้นที่ราว 340 ตารางกิโลเมตร 

          การเดินทางจากอำเภอโขงเจียม ใช้เส้นทาง 2134 ต่อด้วย เส้นทาง 2112 แล้วแยกขวาไปผาแต้มอีกราว 5 กิโลเมตร รวมระยะทางประมาณ 18 กิโลเมตร


          "สามพันโบก" ตั้งอยู่ที่บ้านโป่งเป้า ตำบลเหล่างาม อำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี เป็นแก่งหินขนาดใหญ่ในลำน้ำโขง ซึ่งจะปรากฏให้เห็นเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง (ประมาณเดือนมกราคม เมษายน) ทั้งนี้ ที่เรียกว่า "สามพันโบก" เพราะบนแก่งหินมีแอ่งน้ำขนาดเล็กใหญ่จำนวนมากกว่า 3,000 แอ่ง (คำว่า "โบก" เป็นภาษาลาว แปลว่า "แอ่ง") จึงเรียกที่นี่ว่า สามพันโบก เป็นแก่งหินขนาดใหญ่ในลำน้ำโขง ซึ่งจะปรากฏให้เห็นเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง (ประมาณเดือนมกราคม เมษายน) ทั้งนี้ ที่เรียกว่า "สามพันโบก" เพราะบนแก่งหินมีแอ่งน้ำขนาดเล็กใหญ่จำนวนมากกว่า 3,000 แอ่ง (คำว่า "โบก" เป็นภาษาลาว แปลว่า "แอ่ง") จึงเรียกที่นี่ว่า สามพันโบก 



          " วัดพระธาตุหนองบัว " เป็นวัดราษฎร์ นิกายธรรมยุต อยู่อำเภอเมืองอุบลราชธานี ห่างจากศาลากลางจังหวัด ไปทางด้านทิศเหนือประมาณ 3 กิโลเมตร บนถนนธรรมวิถี แยกจากถนนชยางกูร ไปทางทิศตะวันตก ประมาณ 500 เมตร สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2498 มีพื้นที่ทั้งหมด 50 ไร่ 1 งาน 19 ตารางวา เป็นวัดสำคัญวัดหนึ่ง ของจังหวัดอุบลราชธานี ภายในวัดมีสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจ คือ พระธาตุเจดีย์ศรีมหาโพธิ์ ที่ส้รางขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ครบรอบ 25 ศตวรรษของพุทธศาสนาในปี พ.ศ.2550


เมืองแห่งดอกบัวงาม แม่น้ำสองสี มีปลาแซบหลาย หาดทรายแก่งหิน ถิ่นไทยนักปราชญ์ ทวยราษฎร งามล้ำเทียนพรรษา ผาแต้มก่อนประวัติศาสตร์




วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556

IT & IS มีความแตกต่างกันอย่างไร

IT & IS มีความแตกต่างกันอย่างไร

 เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) หมายถึง การนำเทคโนโลยีด้านการสื่อสารและคอมพิวเตอร์มาใช้สร้างข้อมูลเพิ่มให้กับสารสนเทศ ทำให้สารสนเทศมีประโยชน์และใช้งานได้กว้างขวางมากขึ้น เทคโนโลยีสารสนเทศรวมไปถึงการใช้เทคโนโลยีด้านต่างๆ ที่จะรวบรวม จัดเก็บใช้งาน ส่งต่อ หรือสื่อสารระหว่างกัน โดยใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์เป็นสื่อหลัก

ระบบสารสนเทศ (Information System) หมายถึง ระบบที่ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ได้แก่ ระบบคอมพิวเตอร์ ทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ระบบเครือข่าย ฐานข้อมูล ผู้พัฒนาระบบ ผู้ใช้ระบบ พนักงานที่เกี่ยวข้อง และผู้เชี่ยวชาญในสาขา ทุกองค์ประกอบนี้ทำงานร่วมกันเพื่อกำหนด รวบรวม จัดเก็บข้อมูล ประมวลผลข้อมูลเพื่อสร้างสารสนเทศ และส่งผลลัพธ์หรือสารสนเทศที่ได้ให้ผู้ใช้ช่วยสนับสนุนการทำงาน การตัดสินใจ การวางแผน การบริหาร การควบคุม การวิเคราะห์และติดตามการดำเนินงานขององค์กร


 IT แตกต่างจาก IS ดังนี้
เทคโนโลยีสารสนเทศ information technology คือการนำ เทคโนโลยีในการนำคอมพิวเตอร์มาใช้งานจัดการกับข้อมูล ข่าวสาร หรือที่เรียกว่าสารสนเทศ แต่ ระบบสารสนเทศ Information systems คือ ระบบที่ประกอบด้วยกลุ่มคน กระบวนการ และทรัพยากร (H/W, S/W, P/W) ที่ทำการเก็บรวบรวมและนำข้อมูลเข้าสู่ระบบ เพื่อประมวลผลข้อมูล และผลิตสารสนเทศที่ต้องการ เพื่อนำไปใช้งานในองค์กร

IT เป็น Subset ของ IS

ตัวอย่างระบบสารสนเทศ



ระบบเอทีเอ็ม (Automatic Teller Machine : ATM) เป็นระบบที่อำนวยความสะดวกสบายอย่างมากให้แก่ผู้ใช้บริการธนาคาร และเป็นตัวอย่างเทคโนโลยีระบบสารสนเทศที่ได้รับการนำมาใช้เป็นกลยุทธ์ในการแข่งขันทางธุรกิจ โดยในปีพ.ศ. 2520 เป็นปีที่มีการใช้เอทีเอ็มเครื่องแรกของโลก ธนาคารซิตี้แบงค์ในเมือง นิวยอร์กเริ่มให้บริการฝากและถอนเงินโดยอัตโนมัติแก่ลูกค้า ซึ่งสามารถให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง รวมวันเสาร์อาทิตย์ด้วย ในขณะที่ธนาคารอื่น ๆ ที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ บนถนนสายเดียวกันให้บริการลูกค้าในเวลาปกติเท่านั้น คือ เฉพาะจันทร์ถึงศุกร์ เวลา 8.00 - 14.00 น. หลังจากบ่ายสองโมงก็หมดโอกาสได้รับบริการฝากถอนเงินแล้ว เมื่อวิเคราะห์มุมมองในการแข่งขันของธนาคารในการให้บริการลูกค้า กล่าวได้ว่า ระบบเอทีเอ็มของ ธนาคารซิตี้แบงค์เป็นบริการใหม่ที่ทำให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบาย และคล่องตัว ได้ดึงดูดลูกค้าจากธนาคาร อื่นมาเป็นลูกค้าของตัวเอง และเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดขึ้นมาเกือบสามเท่าตัวในช่วงเวลาประมาณ 6 เดือน ก่อนที่ธนาคารคู่แข่งจะไหวตัวทัน และหันมาให้บริการเอทีเอ็มบ้าง